วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

How to care for your camera

วิธีการดูแล และข้อควรระวังในการใช้กล้องดิจิตอล     
(How to care for your camera)
        
จากหลาย ๆ บทความที่ผ่านมา เราได้กล่าวถึงเทคนิคการถ่ายภาพต่าง ๆ มาหลายตอนแล้ว มาวันนี้เรามาพูดถึง “วิธีการดูแลรักษา และข้อควรระวังในการใช้กล้องดิจิตอล” กันบ้างจะดีกว่า เพื่อเป็นการเตือนความทรงจำกัน เชื่อว่าช่างภาพอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นั้นทราบดีอยู่แล้วว่าควรจะทำอย่างไรให้กล้องตัวโปรดของเรานั้นอยู่รับใช้เราให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ และบางท่านหวังถึงสภาพการขายต่อ เพื่อให้ได้ราคา พอที่จะเริ่มต้นกับกล้องรุ่นใหม่ ๆ ที่เข้ามายั่วกิเลส เพราะฉะนั้นเรามาเตือนความจำ และทำให้เป็นนิสัยกันดีกว่า  

“วิธีการดูแลรักษา และข้อควรระวังในการใช้กล้องดิจิตอล”
1.  สิ่งแรกที่ควรต้องมีอุปกรณ์ในการดูแลรักษากล้อง
  • ที่เป่าลมยาง (อันดับแรกสุด) ใช่เป่าเศษฝุ่น และเป่าทำ     ความสะอาดตัวกล้อง
  • แปรงปัดฝุ่น อย่าใช้แปรงปัดฝุ่นปัดทำความสะอาดตัวกล้อง และอุปกรณ์อื่น ๆ นอกจากผิวเลนส์
  • กระดาษเช็ดเลนส์
  • ผ้าเช็ดเลนส์
  • น้ำยาเช็ดเลนส์ ควรเป็นตัวเลือกสุดท้าย ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรใช้นอกจากมีคราบฝังแน่นเป่าไม่ออก
  • Silica Gel สารดูดความชื้น
  • กระเป๋ากล้อง ควรเป็นกระเป๋าที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใส่กล้องโดยเฉพาะ

2. อย่าเก็บกล้องใกล้ที่ที่มีอากาศชื้น หรือที่ร้อนมาก ๆ วิธีที่แนะนำในการเก็บกรณีที่เป็น “กล้อง Compactให้นำกล้องใส่ไว้ในกระเป๋ากล้องก่อน จากนั้นค่อยใส่ไว้ในถุงซิปสำหรับเก็บกล้องจากนั้นค่อยเอาสารดูดความชื้นใส่ตามลงไป แล้วปิดปากถุงให้สนิท ถ้าเป็น “กล้อง DSLR” ก็ให้ใส่สารดูดความชื้นไว้ที่ก้นกระเป๋ากล้องด้วย หรือถ้ามีกล้องและเลนส์อยู่หลายตัว แนะนำให้ซื้อกล่องโลหะสำหรับเก็บกล้องโดยเฉพาะ ซึ่งจะสามารถกันความชื้นได้ดี ให้หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศร้อนมาก ๆ อย่างในรถ เนื่องจากกล้องมาส่วนที่เป็นพลาสติกอยู่ไม่น้อยรวมถึงพวกสปริง ถ้าชิ้นส่วนพวกนี้โดยความร้อนมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดการบิดตัวทำให้รูปร่างผิดเพี้ยนไปได้ ดังนั้นความชื้น กับความร้อน เป็นศัตรูกับการเก็บรักษากล้อง

3.  ระลึกไว้เสมอว่าห้ามทำกล้องตก อันนี้ต้องระวังมาก ๆ แนะนำว่าทุกครั้งที่ใช้กล้องให้ใช้สายคล้องให้เป็นประโยชน์ คล้องไว้ที่ คอ หรือข้อมือ แม้กระทั่งการส่งกล้องให้บุคคลอื่นใช้ก็ตาม ให้คนที่รับกล้องไปใช้สายคล้องกล้องใส่คล้องที่คอ หรือข้อมือทันที่ เผื่อใครมากระแทกกล้องจะได้ไม่หลุดมือ
4.  ควรระมัดระวังเรื่อง “ฝุ่น” ให้มาก อย่าใช้มือ หรือผ้าที่ไม่สะอาดเช็ดหน้าเลนส์ อาจจะทำให้หน้าเลนส์เป็นรอยขนก็ได้ เพราะเลนส์ของกล้องทุกรุ่น ทุกยี่ห้อมีการเคลือบหน้าเลนส์มาด้วยกันทั้งนั้น

5. เวลาจะนำกล้องออกมาจากกระเป๋ากล้อง โดยเฉพาะในฤดูหนาว ควรจะค่อย ๆ ปรับอุณหภูมิของกล้อง ขอยกตัวอย่างของผู้ที่สวมใส่แว่นอยู่ในรถที่การปรับอากาศให้เย็นมาก ๆ พอออกมาข้างนอกรถแล้วเจออากาศร้อน เลนส์ของแว่นก็จะเป็นฝ้า ฉะนั้นการเดินทางเพื่อจะไปถ่ายภาพ ก่อนที่จะถึงจุดหมายที่ต้องการประมาณซัก 10 – 15 นาที ควรเอากล้องออกจากกระเป๋าไว้ก่อนให้เป็นอุณหภูมิเดียวกันกับอุณหภูมิในรถ จากนั้นก่อนที่จะลงจากรถให้เอากล้องซุกไว้ในเสื้อนอกซักพัก แล้วค่อย ๆ เอากล้องออกมาใช้งาน จุดสังเกตว่าเราปรับอุณหภูมิได้พอเหมาะพอดีหรือไม่คือ ฝ้า” ถ้าทำได้ดีไม่ควรมีฝ้าเกิดที่หน้าเลนส์ และในการเก็บกล้องหลังจากถ่ายภาพเสร็จก็ควรทำกระบวนการย้อนกลับก่อนเก็บกล้องเข้ากระเป๋ากล้อง

6. ก่อนทำการเก็บกล้องทุกครั้งควรปรับฟังก์ชั่นไปที่การดูภาพทุกครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันการเปิดหน้ากล้องแล้วทำให้ชุดเฟื่องเลนส์เสีย บางครั้งการเปิดทำงานของกล้องขณะที่กล้องอยู่ในกระเป๋านั้นอาจเกิดจากการโดนกระแทกโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ระบบกล้องเริ่มทำงานพร้อมที่จะถ่ายภาพ ซึ่งลักษณะนั้นสภาพเลนส์จะมีมอเตอร์ขับให้ยื่นออกมา และสภาพที่อยู่ในกระเป๋ากล้องจะทำให้เลนส์นั้นดันอยู่กับผนังกระเป๋า อาจทำให้ชุดเฟื่องเลนส์ชำรุดเสียหายได้

7.   Battery ไม่ควรใส่ค้างไว้ในตัวกล้อง ถ้าไม่ได้ใช้ก็ควรที่จะต้องถอดออกจากตัวกล้อง

8.   การ Format การ์ด ควรใช้ฟังก์ชั่นในกล้องทำการ Format ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ในการ Format เพราะการ Format การ์ดโดยคอมพิวเตอร์แล้วบางครั้งอาจจะนำมาใช้ในกล้องไม่ได้ (อาจเป็นเหตุผลทางด้านเทคนิค)

9.   กล้องดิจิตอลควรหยิบนำมาใช้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรือ 2 สัปดาห์ครั้ง โดยนำมาถ่ายภาพเล่น ๆ บ้างเนื่องจาก “ไม่ใช้มันเลยมันก็อาจใช้ไม่ได้ไปตลอดกาล

10. การโอนข้อมูล และการทำความสะอาด CCD ควรจัดเตรียม Battery ให้เต็มอยู่เสมอ

11.ข้อสุดท้ายสำคัญมาก “หากไม่จำเป็นจริงๆไม่ควรให้เพื่อนยืมกล้อง(ใช้วิจารณญาณของท่านเจ้าของกล้อง)
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงเป็นประโยชน์ และช่วยฟื้นความทรงจำให้กับทุกท่าน เพื่อกล้องที่เรารัก



วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถ่ายภาพทะเลสวยให้สวยดั่งใจหวัง

         พบกันอีกแล้วสำหรับเทคนิคการถ่ายภาพแบบบ้าน ๆ และสำหรับบทความนี้จะแนะนำการถ่ายภาพทะเลให้สวยงามดั่งใจหวัง ส่วนใหญในฤดูร้อนเรามักที่จะชอบเดินทางไปท่องเที่ยวตามเกาะ หรือชายหาดต่าง ๆ เพื่อพักผ่อน และคลายความเครียดจากภาวะอากาศของเมืองไทยที่ร้อนแสนร้อน การได้ไปรับลมทะเล นังชิลกับบรรยากาศท้องน้ำ และท้องฟ้าที่สดใส ย่อมทำให้มีความสดชื่นขึ้น และที่ขาดไม่ได้สำหรับการท่องเที่ยวก็คือ การได้ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก การถ่ายภาพท้องทะเล ท้องฟ้า และบรรยากาศสายลม แสงแดดนั้น ก็ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอีกลักษณ์หนึ่ง โดยเฉพาะการถ่ายภาพวิวทะเล ชายหาด หรือเกาะต่าง ๆ ให้ได้ภาพที่สวยงาม ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติของแสง และสิ่งต่าง ๆ ของภาพทะเล ต้องเข้าใจว่าแสงที่เราจะพบเจอนั้นมักจะเป็นแสงที่แรงสักหน่อย โดยเฉพาะวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง หรือที่เรียกว่าฟ้าเปิด ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพทะเล 
                รายละเอียดต่าง ๆ ของภาพก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ความสดใสของน้ำทะเล ความขาวสะอาดของหาดทราย พื้นทรายใต้ท้องทะเลที่เราจะพบเห็นถ้าความใสของน้ำทะเลมีแสงแดดจะสาดส่องลงไปได้ลึกพอ และถ้าพื้นทรายด้านล่างมีความขาวนวลก็จะสะท้อนกลับออกมาได้มาก ทำให้เราสามารถมองเห็นน้ำทะเลเป็นสีเขียวมรกตสวยงาม แต่ถ้าน้ำทะเลสกปรกมีความขุ่น แสงแดดส่องผ่านลงไปได้น้อยลงจนอาจจะไม่ถึงพื้นทรายด้านล่าง ทำให้พื้นทรายไม่สามารถสะท้อนแสงกลับขึ้นมาได้เราก็จะเห็นน้ำทะเลเป็นสีเขียวขี้ม้าอึมครึมเท่านั้น หรือแม้ว่าน้ำทะเลจะใสแต่ถ้าพื้นทรายด้านล่างไม่ขาวนวลก็จะสะท้อนแสงได้น้อย และจะเห็นน้ำทะเลไม่สวย ใสเป็นมรกตเช่นเดียวกัน หรือหากพื้นด้านล่างเป็นหินแนวปะการังก็จะไม่เห็นน้ำทะเลสวยๆเหมือนกันในขณะที่ตัวท้องฟ้าเองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ภาพท้องทะเลสวยงามตามจิตนาการของเรา โดยปกติถ้าเป็นวันที่ฟ้าเปิดมีเมฆน้อย ท้องฟ้าริมทะเล หรือเกาะต่างๆ ก็มักจะเป็นสีฟ้าครามสวยงามอยู่แล้ว เราจะสามารถจัดองค์ประกอบของภาพให้เห็นทั้งน้ำทะเล และส่วนประกอบ เช่น เกาะ ชายหาด ต้นไม้ ผู้คน หรือสิ่งอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจนตามที่เราต้องการ เพราะท้องฟ้าก็สวย น้ำทะเลก็สวย แต่ถ้าเป็นวันที่ท้องฟ้าปิดมีเมฆมากท้องฟ้าจะไม่สดใส ถ่ายภาพออกมาก็จะไม่สวย การถ่ายภาพ ก็จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงท้องฟ้าให้มากที่สุด

             สิ่งที่ควรระวังก็คงจะเช่นเดียวกับการถ่ายภาพวิวทั้งหลาย แต่ที่ต้องเน้นเป็นพิเศษสำหรับการถ่ายภาพทะเลก็คือ การวางเส้นของฟ้า เนื่องจากทะเลมักจะเห็นเส้นขอบฟ้าได้ชัดเจนกว่าภาพวิวที่ถ่ายตามภูเขา ต้องระวังไม่ให้เส้นขอบฟ้าเอียงไปจากแนวระดับเพราะจะทำให้ดูขัดตารวมถึงการจัดวางให้เส้นขอบฟ้าตามกฏเหล็กของการถ่ายภาพคือ 1 :  3 หรือ 2 : 3 (Rules of Third ) จะช่วยให้ภาพดูดีขึ้นได้

          อุปกรณ์เสริมก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะต้องมีติดตัวไปเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวตามชายหาด หรือที่ต่าง ๆ นั่นก็คือ ฟิลเตอร์ C-PL เพราะฟิลเตอร์ชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการตัดแสงสะท้อนบนผืนน้ำออกไปได้ ทำให้ภาพถ่ายที่ได้ปราศจากแสงสะท้อนบนผืนน้ำ ทำให้เราได้ภาพที่เห็นสีสันของน้ำทะเลได้อย่างชัดเจน  และถ้าหากเราหันหน้าไปทางทิศเหนือหรือทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศทางที่ตั้งฉากกับแนวของดวงอาทิตย์ซึ่งก็คือ แนวตะวันออก-ตะวันตก เจ้าฟิลเตอร์ C-PL นี้ก็จะทำหน้าที่ช่วยเพิ่มสีสันความเข้มให้กับท้องฟ้า หรือต้นไม้ใบหญ้า ต่าง ๆ ได้ด้วย 

             การถ่ายภาพทะเลที่สวยนั้นต้องมีการวัดแสงที่ถูกต้อง สำหรับผู้ที่เข้าใจเรื่องรูรับแสงคงจะไม่ยากเกินความสามารถ  ควรพิจารณาว่าภาพนั้นมีสัดส่วนของน้ำทะเล หรือหาดทรายมากน้อยอย่างไร  หากมีสัดส่วนของหาดทรายอยู่มาก ควรตั้ง over ไว้ซัก 1 stop เพราะหาดทรายสะท้อนแสงได้มาก ทำให้กล้องนึกว่ามีแสงเยอะ จะเปิดรับแสงน้อยทำให้ภาพมืดเกินไป  จึงต้องชดเชยด้วยการรับแสง over 1 stop ในทางตรงข้ามถ้าสัดส่วนหากภาพนั้นน้ำทะเลสีเข้มมาก ๆ ให้ตั้ง under ไว้ 1 stop เพื่อภาพที่ได้จะไม่ขาวซีดจนเกินไป   อีกเทคนิคหนึ่งที่ใช้คำนวณแสงได้อย่างแม่นยำคือ การหันกล้องไปวัดแสงบริเวณที่เป็นต้นไม้ หรือหญ้าเขียว ๆ แล้วใช้ค่าแสงนั้นในการถ่ายภาพได้เลย จะช่วยให้ได้แสงที่ถูกต้อง โดยที่ต้นไม้ หรือหญ้าต้องอยู่ในสภาพแสงเดียวกันกับภาพที่จะถ่าย ไม่ใช่อยู่ในสภาพแสงต่างกันโดยสิ้นเชิง

               ภาพทะเลตอนพระอาทิตย์ตกซึ่งหลาย ๆ อยากจะได้ภาพที่สวยงาม แต่กลับเจอปัญหาภาพออกมาไม่สวยดั่งใจคิด เป็นเพราะไม่เข้าใจเรื่องของการวัดแสงนั่นเอง การถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกนั้นจำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องเข้ามาช่วย โดยเฉพาะช่วงหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว เพราะจะต้องเปิดรูรับแสงนานกว่าปกติทำให้ต้องมีขาตั้งกล้องช่วยพยุงไม่ให้กล้องสั่น หรือจะใช้ระบบอัตโนมัติโดยใช้โหมด night scene ก็ได้เช่นเดียวกัน การถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกนั้นไม่จำเป็นต้องใช้แฟลช ยกเว้นมีคน หรือวัตถุที่ต้องการให้ได้รับแสง  การวัดแสงนั้นในกรณีที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกให้วัดแสดงที่ท้องฟ้าข้าง ๆ พระอาทิตย์ วัดแบบเฉพาะจุดเพื่อไม่ให้แสงพระอาทิตย์เข้ามามีผล  แต่ถ้าพระอาทิตย์ตกไปแล้วก็ให้วัดบริเวณที่พระอาทิตย์ตกได้เลยก็จะได้แสงที่พอดีและสวยงาม เทคนิคอีกอย่างหนึ่งก็คือควรถ่ายภาพคร่อม over/under ไว้อีกอย่างละหนึ่งภาพเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับภาพที่ดีที่สุด หวังว่าทริปต่อไปเพื่อน ๆ คงจะมีภาพทะเลสวย ๆ มาฝากกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถ่ายภาพวิวภูเขาให้เข้าตากรรมการ

            นับตั้งแต่กล้องถ่ายภาพได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้เมื่อปี ค.ศ.1825  กล้องกับการเดินทางก็เป็นของคู่กันอย่างไม่สามารถแยกออกจากกัน บนพื้นโลกอันกว้างใหญ่ หรือแม้แต่ในท้องทะเล มีเรื่องราวหลายหลากให้นักเดินทางอย่าเรา ๆ ท่าน ๆ ได้ค้นหา และบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นลงสู่ภาพถ่าย ตั้งแต่ดอกหญ้าที่ไร้ค่าไปจนถึงท้องทะเลอันกว้างใหญ่ และหนึ่งในสิ่งที่บรรดานักเดินทางทั้งหลายชื่นชอบคงจะหนีไม่พ้นภาพวิวภูเขาตระหง่านง้ำ ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่อลังการ โดยเฉพาะเมื่อมันมาปรากฏอยู่ในภาพถ่าย ซึ่งเราเป็นผู้ทำการบันทึกไว้เอง เทคนิคในการถ่ายภาพภูเขาก็มีผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ และบรรดาเซียนการถ่ายภาพ รวบรวม ทดลอง คิดค้น วิธีการต่าง ๆ มาแนะนำอยู่มากมาย โดยหลัก ๆ เท่าที่ค้นหามาได้คงจะประมาณนี้ เราไปดูกันว่าทำอย่างไรบ้าง
http://www.tripsthailand.com/th/doihuamaekham.php

1. วางแผนและค้นหาข้อมูล
ก่อนออกเดินทาง เราควรใช้เวลาสักนิดในการที่จะหาข้อมูล ของสถานที่ ๆ เราจะไปเพื่อเป็นการวางแผนการเดินทาง และวางกำหนดเวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เช่น พระอาทิตย์ขึ้น หรือตกในตำแหน่งใด เราจะได้อยู่ถูกที่ ถูกทาง และถูกเวลา รวมถึงรู้ทิศ ทางของแสง ว่าช่วงเช้า ช่วงบ่าย และช่วงเย็น สภาพแสงจะเป็นอย่างไรในตำแหน่งนั้น ๆ อีกทั้งฤดูกาลที่เหมาะสม ซึ่งสามารถจะช่วยให้จัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องอีกด้วย

2. เลนส์เทเลโฟโต้ (Telephoto lens) อาจช่วยคุณได้
การใช้เลนส์มุมกว้าง (Wide-angle lens) ถ่ายภาพวิวภูเขา หรือทิวทัศน์ อาจไม่จำเป็นเสมอไป เราลองมาใช้เลนส์เทเลโฟโต้มาถ่ายภาพวิวดูซักครั้ง อาจให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป โดยทั่วไปแล้ว เราอาจจะใช้เลนส์เทเลโฟโต้ในการถ่ายภาพเพื่อเจาะเน้นเฉพาะส่วนที่น่าสนใจ ซึ่งจะมีผลต่อความรู้สึก และมีพลังในภาพมากขึ้น การปรับรูรับแสง ถ้าต้องการให้ภาพชัดเจนทุกส่วนก็ควรปรับรูรับแสงให้แคบ เช่น F 22 หรือ F 32 แต่ต้องปรับความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำลงด้วย อาจต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อความมั่นคง และใช้ร่วมกับสายลั่นชัตเตอร์ทุกครั้ง หากไม่มีอาจจะใช้ระบบตั้งเวลาถ่ายอัตโนมัติก็ได้ เพื่อภาพจะได้ไม่สั่นไหว

3. มองหาเงาสะท้อน
มืออาชีพมักที่จะเสาะหาบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจเพิ่มเติมลงในภาพเสมอ เพื่อให้ได้ผลงานที่แตกต่าง ภูเขาลูกเดียวกันแต่ลองเปลี่ยนมุมมอง ด้วยการส่งภูเขาทั้งลูกลงไปสู่ทะเลสาบ หรือหนองน้ำ ทำให้เกิดเป็นเงาสะท้อน ซึ่งจะส่งผลให้ภาพถ่ายมีความน่าสนใจและเพิ่มเนื้อหาเรื่องราวให้กับภาพได้เป็นอย่างดี

4. สร้างภาพให้มีมิติ (สร้างฉากหน้า)
การหาวัตถุที่น่าสนใจรวมเข้าเป็นฉากหน้า อาจจะเป็นเงาของต้นไม้ใหญ่ ทุ่งดอกไม้ น้ำตก หรือบรรยากาศในตัวภูเขาเอง หามันให้เจอทำให้มันเกิดมิติที่แตกต่างกัน ในส่วนที่อยู่ใกล้ และฉากหลังที่อยู่ไกล ส่วนที่เป็นภูเขาอาจจะสำคัญรองลงไป แต่อย่างไรเสียภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขา และยังคงน่าสนใจอยู่ดี

5. มองจากมุมที่สูงกว่า
เป็นเรื่องเบสิคมาก สำหรับการถ่ายภาพภูเขาจากระดับสายตา แต่สิ่งที่จะทำให้ภาพเร้าอารมณ์มากขึ้นคือ ขึ้นไปที่สูงแล้วบันทึกภาพนั้นจากมุมมองที่สูงกว่า นำเสนอทิศทางการมองภูเขาที่แตกต่างออกไป เราอาจต้องใช้ความพยายามสักหน่อยที่จะได้มุมมองดังกล่าว อาจต้องเดินขึ้นเขากันเป็นวันๆ แต่รับรองว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้มาอย่างแน่นอน ทั้งภาพถ่าย ทั้งความรู้สึก เราอาจเพิ่มเรื่องราวในขณะเดินทางไต่เขาเข้าไปในกลุ่มของภาพ ก็จะยิ่งเติมเต็มเนื้อหาให้กับภาพถ่ายของภูเขายิ่งขึ้น

6. เร่งสีสันให้กับภาพ
ตากล้องส่วนใหญ่มักจะใช้ฟิลเตอร์ “โพลาไรซ์ (Polarized filters)” เพื่อเพื่อสีสันให้กับท้องฟ้า แต่การจะได้ภาพเป็นที่น่าสนใจมันไม่ได้จบแค่การนำฟิลเตอร์โพลาไรซ์มาใส่แล้วถ่ายเท่านั้น เราต้องเรียนรู้มุมสะท้อนของแสงอาทิตย์อันจะส่งผลให้ใช้ประโยชน์จากมุมโพลาไรซ์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด การวางตำแหน่งของภูเขาในภาพได้อย่างถูกต้อง ถูกทิศทาง การวางให้มุมตั้งฉากกับดวงอาทิตย์จะเกิดผลในการใช้ฟิลเตอร์ชนิดนี้มากที่สุด การใช้งานให้ปรับมุมฟิลเตอร์พร้อมกับสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสีสันจากช่องมองภาพโดยค่อย ๆ เลือกตำแหน่งการปรับฟิลเตอร์จนกว่าจะได้ภาพวิวภูเขาที่ดีที่สุด

7. หมอกและแสงหลัง
สิ่งอันเป็นยอดความปรารถนาของผู้รักการถ่ายภาพทั้งหลายคงหนีไม่พ้นทะเลหมอก การที่เราต้องขนอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นระยะทางไกล ๆ เดินทาง ปีนป่ายขึ้นสู่ไหล่เขาสูงจนได้ระดับ เพื่อให้ได้ภาพของทะเลหมอก ที่ทำให้ภูเขาดูเหมือนมีความลี้ลับ และลึกลับน่าค้นหา ยามใดที่ปรากฏทะเลหมอกขึ้นยังบริเวณหุบเขาด้านล่าง และมีทิศทางของแสงส่องเข้ามาทางหลัง ผลที่ได้จะทำให้ภาพหุบเขาเกิดเป็นเงามืดทึบตัดกับผืนหมอกสีขาวนวลที่กำลังทอประกายสะท้อนแสงแลดูสวยงาม และลึกลับน่าค้นหา

8. เพิ่มคนเข้าไปในภาพ
เช่นเดียวกับการสร้างฉากหน้า ลักษณะนี้เป็นการแสดงสัดส่วน และขนาด เพื่อที่ในภาพจะได้มีการเปรียบเทียบบ่งบอกขนาดอันใหญ่โตของภูเขา และทิวทัศน์ การเพิ่มคนเข้าไปในภาพจึงเป็นการเพิ่มความน่าสนให้กับภาพ อีกทั้งสามารถบอกเล่าเรื่องราวของการเดินทางได้อีกด้วย

9. ตื่นแต่เช้าตรู่
ในช่วงบ่ายต้องถือเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ส่องแสงสวยงามดั่งต้องมนต์ เพราะเป็นช่วงที่แสงแลดูอบอุ่น ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี แต่แสงอีกช่วงหนึ่งของวันที่ทรงคุณค่าไม่แพ้กันนั่นก็คือ แสงในช่วงเช้าตรู่ ด้วยสีฟ้าบริเวณชั้นบรรยากาศอันห่างไกล และแสงสีชมพูบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กำลังจะโผ่ลพ้นขอบฟ้า เมื่อรวมเข้าด้วยกันประกอบกับภาพภูเขาเบื้องล่าง ทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็นภาพที่งดงาม ให้ความรู้สึกบางเบา อิสระ และสงบเงียบ เราจึงควรใช้ช่วงเวลานี้ให้เกิดประโยชน์ อย่าปล่อยให้สูญเปล่าไปกับการพักผ่อนหลับนอน แม้ว่ายามค่ำคืนที่ผ่านมาจะมีศึกหนักจากงานปาร์ตี้(Party)

ขอเสริมเรื่องสุดท้ายคือ การจัดวางตำแหน่งของภาพ อย่าลืมกฏ 1 ใน 3 ของภาพ (Rules of Third ) และเส้นนำสายตา (Eye Line) นะครับ

และสุดท้ายจริง ๆ ต้องขอขอบคุณท่านผู้รู้ และบรรดาเซียนกล้องทั้งหลาย ที่เก็บรวบรวมประสบการณ์มาให้ เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ศึกษาทดลอง ขอบคุณครับ

ขอให้สนุกกับการเดินทาง และถ่ายภาพสวย ๆ มาฝากพวกเราครับ



วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถ่ายภาพ"มาโคร (Macro)"ด้วยเทคนิคแบบบ้าน ๆ

         การถ่ายภาพสิ่งของที่เล็ก ๆ ดอกไม้ ดอกหญ้า หรือบรรดาพวกแมลงตัวเล็ก ๆ ในมุมมองของตากล้องทั่วไป จะต้องมีเลนส์ (lens) แบบพิเศษที่เรียกกันว่าเลนส์แบบ "มาโคร (Macro)" ซึ่งในบางครั้ง ตากล้องแบบพวกเราชาวบ้าน ก็ยากที่จะหามาเป็นเจ้าของได้ เนื่องจากราคาที่แสนจะแพง บางครั้งเราอาจจะมีแต่ลืมหยิบเอามา หรือรีบร้อนที่จะถ่าย เพราะเหตุการณ์บังคับ ไม่สามารถที่จะหยิบฉวยเลนส์ มาเปลี่ยนได้ทันท่วงที วันนี้ผมมีเทคนิคแบบบ้าน ๆ มาฝาก

เครดิตภาพ
http://2g.pantip.com/cafe/camera/topic/O13019534/O13019534.html

          เมื่อเราไปพบเห็นวัตถุที่เป็นเป้าหมาย สิ่งแรกที่ควรจะทำ และคิดคำนวณคือ การหาทิศทาง และสภาพของแสง สำหรับวิธีที่แนะนำนี้การหาทิศทาง และสภาพแสงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราไม่สามารถควบคุมสภาพแสงด้วยแฟลช (flash)ได้ ดังนั้น ควรที่จะคำนวณสภาพที่เห็นให้ดี เมื่อได้มุมมอง ทิศทาง และสภาพแสงที่ดีแล้ว ให้ทำการถอดเลนส์ ที่ติดอยู่กับตัวกล้องออก กลับหน้าเลนส์ที่แต่เดิมเป็นด้านที่ต้องจ่อไปที่วัตถุ เอาด้านที่ติดกับตัวกล้องออกไปหาวัตถุแทน พยายามจับตัวเลนส์ให้แนบกับกล้องให้สนิทที่สุด  มือขวาจับกล้อง มือซ้ายประคองเลนส์ประกบกับตัวกล้องตรง ๆ และพยายามเข้าใกล้วัตถุเป้าหมายให้มากที่สุด ในทิศทางที่ไม่บังแสงที่จะส่องมากระทบกับวัตถุเป้าหมาย การหาโฟกัส ทำได้โดย การขยับตัวกล้อง เข้าใกล้ หรือออกห่างจากวัตถุ สุดท้ายเมื่อได้จุดโฟกัสที่เราพอใจ กดครับกดที่ชัดเตอร์เลยครับ...แชะ...แชะ...แชะ...
หวังว่าภาพที่ได้ออกมาคงสร้างความแปลกใหม่ให้กับจิตนาการของท่าน ....

          หมายเหตุ : ในปัจจุบันมีการจำหน่ายอุปกรณ์แหวนกลับเลนส์สำหรับการเชื่อมต่อแล้ว หาซื้อได้ตามร้านขายอุปรณ์การถ่ายภาพทั่วไปครับ

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ครั้งแรกกับการเดินทางด้วยเครื่องบิน.....

          นับตั้งแต่มีสายการบินที่บริการแบบ Low cost airline services หรือค่าบริการถูก ซึ่งบางครั้งราคาถูกมาก แทบจะถูกกว่ารถโดยสารปรับอากาศบางสายซะอีก ผมก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องหาโอกาสสัมผัสกับการเดินทางที่ครั้งหนึ่งในชีวิตคิดว่าจะไม่สามารถจะเดินทางด้วยวิธีนี้ เนื่องด้วยว่ามันมีราคาค่าบริการที่สูงมาก(ในสมัยเริ่มแรก)

          มาเข้าเรื่องกันดีกว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางภายในประเทศนะครับ (ครั้งหน้าถ้าไปต่างประเทศจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ) เพื่อไปเยี่ยมเยือนรุ่นพี่ที่เคารพ และไม่ค่อยได้พบเจอกัน เป็นการรวมรุ่นน้อง ๆ ไปด้วยกันหลายคน (ถ้าเดินทางคนเดียวน่าจะเปิ่นได้อีกมากมาย) โดยทางกลุ่มรุ่นน้อง เป็นผู้จัดการในการจองเที่ยวบินให้ และนัดเจอกันที่สนามบินดอนเมือง คนป่าอย่างเรามีหน้าที่เดินทางไปให้ถึงที่สนามบินก็พอ

          เช้าวันที่ 8 พฤษภาคม การเดินทางก็มาถึง ผมรีบจับรถตู้จากบ้านนอกเข้าสู่เมืองกรุงตั้งแต่เช้ามืด เพื่อให้ทันเที่ยวบินในตอนสาย เวลา 11.40 น. เป็นเที่ยวบินที่ FD-3239 ของ Air Asia ออกเดินทางจากกรุงเทพ ไป สุราษฎร์ธานี แต่มันเป็นภาวะความตื่นเต้น หรือการคำนาณระยะเวลาเดินทางที่ผิดพลาดก็ไม่สามารถจะบอกได้ ผมเดินทางไปถึงสนามบินตั้งแต่ยังไม่เคารพธงชาติเลย ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าสนามบินดอนเมืองซักพักใหญ่ ๆ สายตาพลันเหลือบไปเห็นร้านสะดวกซื้อที่เป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้ เลยนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จัดการอาหารเข้าไปสู่ร่างกายเลย เลยจัดการข้ามถนน 8 เลน กับทางรถไฟ และถนนอีก 2 เลน ไปซื้ออาหารในร้านสะดวกซื้อ แล้วก็ข้ามกลับมานั่งจัดการกับอาหารที่หน้าสนามบินอย่างหิวกระหาย จัดการอาหารเรียบร้อย เริ่มมีความคิดโลดแล่น จับโทรศัพท์มาเช็ค Line group จัดการสอบถามว่ามีใครมาถึงสนามบินแล้วบ้าง ได้ข่าวดีว่ามีน้องมาถึงแล้ว 2 คน แต่คนนึงกลัวว่าจะตกเที่ยวบิน (จริงหรือเปล่าไม่ทราบได้) ทำการเช็คอินเข้าไปด้านในห้องรับรองผู้โดยสารซะแล้ว เอาน่าไม่เป็นไรเหลือรุ่นน้องอีก 1 คน ก็ทำการนัดหมายเจอกัน ด้วยความที่เป็นคนป่า กว่าจะเจอกันได้รุ่นน้องคนนั้นเลยต้องบอกว่า 

"พี่ ๆ พี่อยู่กับที่เลย เดี๋ยวผมเดินหาพี่เอง"  ฮ่าฮ่า ฮาไปซิครับท่าน

หลังจากที่หากันจนเจอเลยนั่งละเลียดกาแฟกันอย่างมีความสุข เนื่องจากไม่ได้พบกันนานมากแล้ว ละเลียดไปละเลียดมาก็มีสมาชิกเดินทางมาเพิ่มเติมตามที่นัดหมาย ประมาณ 10 โมงกว่า ๆ น้องคนที่มาก่อนจำเป็นต้องขึ้นไฟท์เดินทางไปก่อนเพราะว่าจองคนละเที่ยวบินกับกลุ่มเรา แต่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือ สุราษฎร์ธานี
หลังจากรวบรวมชนกลุ่มน้อย เอ๊ย กลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องได้ครบกันแล้ว ถึงเวลาต้องทำการ เช็คอิน (Check-in) เพื่อแจ้งทางสายการบินว่าพวกเรามาแล้ว มีสัมภาระอะไรบ้าง ถึงขั้นตอนนี้มีข้อปลีกย่อยไว้ให้ศึกษานะครับ 

ข้อห้าม
การเดินทางโดยเครื่องบินมีข้อห้ามหลายอย่าง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ผมจะพูดถึงกฎทั่วไปของทุกสายการบิน ส่วนกฎของแต่ละสายการบิน เช่นน้ำหนักกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง จำนวนสัมภาระติดตัว ฯลฯ ให้ดูได้จากเวบไซต์ของสายการบิน ควรศึกษาก่อนขึ้นเครื่อง
  • ห้ามนำของเหลวถือขึ้นเครื่องเกินชิ้นละ 100 ml (ml, cc, g ให้ถือเป็นค่าเดียวกัน) หากมีความจำเป็นต้องนำของเหลวติดตัวไปด้วยเช่นพวกแชมพู สบู่เหลว ให้ใช้วิธีแบ่งใส่ขวดเล็กๆ หรือถุงใสที่มีปริมาตรไม่เกิน 100 ml โดยวิธีนี้เราสามารถนำของเหลวติดตัวรวมกันแล้วไม่เกิน 1,000 ml ขนาดของของเหลวจะยึดจากฉลากบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก เช่น ครีม ที่ฉลากติดไว้ว่า 120 ml ถึงแม้ว่าจะใช้ไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ เพราะปริมาตรที่ฉลากระบุไว้เกิน 100 ml ของเหลวที่มีปริมาณเกินที่ระบุไว้จะต้องถูกทิ้งขยะ แต่ในกรณีของเหลวโหลดเป็นสัมภาระใต้ท้องเครื่องจะไม่จำกัดปริมาณ
  • ห้ามนำของมีคม วัตถุไวไฟ อาวุธ ถือขึ้นเครื่อง เช่นกรรไกร มีด คัทเตอร์ ดอกไม้ไฟ ถ้าเจ้าหน้าที่ตรวจเจอจะต้องถูกทิ้งขยะ
  • น้ำหนักกระเป๋า – สัมภาระขึ้นเครื่อง สายการบิน Air asia ให้นำกระเป๋าถือขึ้นเครื่องได้ 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม ขนาดไม่เกิน 56?36x23 cm สำหรับกระเป๋าถือของผู้หญิงหรือกระเป๋ากล้องสามารถนำติดตัวไปได้โดยไม่นับว่าเป็นสัมภาระ และถ้ามีสัมภาระโหลดใส่ใต้ท้องเครื่องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะครับ สายการบิน Nok Air (Nok Economy) ให้โหลดกระเป๋าได้คนละ 15 กิโลกรัม ส่วนสายการบินอื่น ๆ เข้าดูได้จากเวบไซต์ของสายการบิน

          เอาล่ะให้ข้อมูลพอเป็นที่เข้าใจก็มาถึงบทบาทของกลุ่มเราบ้าง เดินจับกลุ่มกันไปเป็นที่สนุกสนาน จัดเตรียมบัตรประชาชน เพื่อแสดงตัวว่าชั้นเนี่ยตัวจริงนะยะ พร้อมด้วยใบรายละเอียดการเดินทาง ( Itinerary) จัดการวางกระเป๋าลงบนสายพานเครื่องชั่งน้ำหนัก และสแกน พระเจ้า..!!..ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นกับคนป่าครับ!! เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีอุปกรณ์สำรองไฟสำหรับโทรศัพท์มือถือถึง 4 อัน ให้จัดการนำมันออก แล้วพกติดตัวขึ้นเครืองไปเองจะนำมาใส่ในสัมภาระโหลดไม่ได้ 
จะเอามาทำไมเยอะหนักหนา ฮาซิครับพี่น้อง พอดีมีน้อง ๆ เค้าฝากไว้ เพราะกระเป๋าผมมันมีพวกของเหลวเยอะ เลยจะทำการโหลดไว้ใต้เครือง น้อง ๆ เลยรุ่มกันฝากของไว้ในกระเป๋าคนป่าอย่างผม ยกเว้นรุ่นน้องอีกคนหนึ่งมัวแต่ยกเบียร์ดื่ม แซวคนโน้นที คนนี้ที นึกขึ้นได้ก็ฝากแต่พวงกุญแจกับมีดพับอเนกประสงค์ แต่ลืมฝากพวกครีมอาบน้ำ ยาสีฟัน สบู่เหลว อะไรจำพวกนี้ เมื่อทำการเช็คอิน (Check-in) ก็ได้รับ บัตรโดยสาร หรือใบผ่านขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) นำไปแสดงให้เจ้าหน้าที่หน้าประตูทางเข้าสู่ห้องพักผู้โดยสารด้านในเพื่อรอขึ้นเครื่อง แล้วปัญหาที่สองก็เกิดกับน้องคนที่ไม่ได้ฝากของเหลวต่าง ๆ ใส่ในกระเป๋าผมเพื่อโหลดไว้ใต้ท้องเครื่องบิน เพราะขั้นตอนนี้มีการสแกนอีกครั้ง อย่างละเอียด ขอย้ำนะครับว่าอย่างละอียด ไอ้เจ้าบรรดาครีมต่าง ๆ ที่ขนมา เจ้าหน้าที่สั่งให้ทิ้งลงถังขยะให้หมดห้ามนำขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด เรียกเสียงหัวเราะ คำแซวจากบรรดาเพื่อน ๆ ได้มากมาย 

"ไอ้__มันรวยวะ มันซื้อครีมมาทิ้งที่สนามบิน" 

          หลังจากผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตามระเบียบของสนามบิน และสายการบินที่เราจะบินแล้ว ก็นั่งรอครับ รอเหมือนเรารอรถโดยสารไปต่างจังหวัดครับ แต่ภายในอาคารที่รอนั้นมีร้านค้าให้จับจ่ายอยู่รอบห้องเลย กลุ่มเราไปกัน 8 คน เข้าไปรวมกับน้องคนที่เข้าไปตั้งแต่เช้าแล้วอีก 1 คน รวมเป็น 9 คนเอาล่ะเลขสวยเลยสำหรับการเดินทางครั้งนี้

         เล่ามาตั้งนานแล้วถึงเวลาที่รอคอยซะที เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นประจำที่นั่งบนเครื่อง เอาวะได้เห็นภายในเครื่องบินซะที นั่นคือความคิดแรกของคนป่า บ้านนอกอย่างผม เดินแบกกระเป๋าที่นำติดตัวขึ้นเครื่องไปตามทางที่เป็นช่องทางเดินโดยช่องทางเดินนั้นลักษณะคล้าย ๆ งวงช้าง มีการขับเคลื่อนเพื่อให้เชื่อมต่อกับประตูของเครื่องบิน เมื่อถึงจะมีพนักงานตอนรับกล่าวต้อนรับอยู่บนเครื่อง และบอกตำแหน่งที่นั่งให้กับผู้โดยสาร ที่นั่งของสายการบิน Low cost จะคล้าย ๆ กับที่นั่งของรถโดยสารปรับอากาศทั่ว ๆ ไป มี่ที่นั่งฝั่งละ 3 แถว โดยมีตัวอักษรภาษาอังกฤษผสมกับตัวเลข เช่น A13 D15 เป็นต้น ที่นั่งที่มีอักษร A กับ F จะนั่งติดหน้าต่างเครื่อง ความรู้สึกขณะนี้เหมือนเราอยู่บนรถโดยสารปรับอากาศ เมื่อได้ที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว (อ้อลืมบอกไปครับย้ายที่นั่งไม่ได้ครับที่นั่งจะนั่งตามชื่อของบุคคลที่จองเพื่อตรวจสอบผู้โดยสาร แต่ถ้าเครื่องจะออกหรือเรามากันเป็นกลุ่มเป็นก้อนแบบกลุ่มของพวกเราก็มั่ว ๆ ไป ฮ่า) พนักงานต้อนรับก็จะเดินตรวจความเรียบร้อย แล้วปิดประตูเครื่อง แจ้งกัปตัน เพื่อเตรียมที่จะออกเดินทางช่วงนี้จะมีไฟให้รัดเข็มขัดสว่างขึ้นตรงที่เป็นที่วางกระเป๋าด้านบนเหนือศีรษะ พนักงานต้อนรับบนเครื่องจะประกาศให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัด ปรับเบาะให้ตั้งตรง และแจ้งรายละเอียดเที่ยวบิน เผื่อจะมีผู้โดยสารขึ้นมาผิดไฟท์ ฮ่า

         ความรู้สึกเหมือนนั่งรถโดยสารหายไปเมื่อเครื่องเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่ทางวิ่ง และเริ่มเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อทำการยกตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ตัวเครื่องเริ่มสั่น และมีแรงยก ความรู้สึกเหมือนเราขึ้นลิฟต์ เครื่องจะทำการไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงระดับที่เครื่องบินโดยสารใช้เดินทางตามที่สถานีภาคพื้นแจ้งกับกัปตัน

          ในระหว่างที่เครื่องบินทำการไต่ระดับอยู่นั้น พนักงานต้อนรับบนเครื่องก็จะทำการสาธิตอุปกรณ์ต่าง ๆ บนเครื่องให้เราได้รับทราบ เผื่อไว้เวลามีเหตุฉุกเฉิน (ภาวนาไว้ว่าอย่ามีเลยนะ)
เมื่อเครื่องอยู่ในระดับเดินทางไฟให้รัดเข็มขัดก็จะดับลง และก็จะมีเสียงหล่อ ๆ ของกัปตันประกาศให้เราทราบว่าเดินทางอยู่กับกัปตันท่านใด ผู้ช่วยกัปตันชื่ออะไร เดินทางจากไหนไปไหน ถึงเวลาเท่าไหร่ อากาศสถานที่ ๆ เราจะไปเป็นอย่างไรในขณะนี้ และพนักงานต้อนรับก็จะนำสินค้ามาเดินจำหน่ายให้ผู้โดยสาร มีทั้งอาหาร น้ำดื่ม เสื้อ ของที่ระลึก ฯลฯ

          บรรยากาศถ้าเดินทางกลางวันจะมองเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ เครื่อง เป็นทิวเฆมที่สวยงาม เห็นแผ่นดินไกล ๆ ลิบ ๆ ท้องน้ำ ท้องทะเล เพลิดเพลินดี ถ้าไม่มีอาการตกหลุมอากาศ อาการตกหลุมอากาศ เหมือนเราเดินอยู่ หรือนั่งอยู่ แล้วตกลงสู่เบื้องล่าง แล้วยกตัวขึ้นมาใหม่ทันที กลุ่มพวกเราก็สนุกสนานกันไปเป็นที่เฮฮา



          และแล้วก็มาถึงบทสุดท้ายที่จะอยู่กันบนเครื่องเมื่อมีไฟเตือนให้รัดเข็มขัด และกัปตันแจ้งว่าเราจะถึงที่หมายภายในกี่นาที และกำลังจะนำเครื่องลง พนักงานจะมาตรวจว่าเรารัดเข็มขัดหรือยัง ปรับที่นั่งให้ตั้งตรงหรือยัง เหมือนตอนที่เครื่องกำลังขึ้น ความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังขับรถลงสะพานแต่เป็นสะพานที่ยาวมาก ถ้ากัปตันฝีมือเยี่ยมการนำเครื่องลงก็จะไม่มีความรู้สึกว่ากระแทกแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกถึงการสัมผัสของล้อกับพื้นทางวิ่ง 
          เมื่อเครื่องจอดสนิท มีงวงช้างทางเดินมาต่อเชื่อมที่ประตูเครื่อง และประตุก็จะเปิดออกให้เราได้ลงจากเครื่อง ใครที่โหลดกระเป๋าไว้ใต้เครื่องก็เดินไปรอที่สายพานกระเป๋าเพื่อรับกระเป๋าของตัวเอง ส่วนใครที่นำกระเป๋าติดตัวขึ้นเครื่องมาก็เดินทางออกจากอาคารสนามบินเพื่อเดินทางต่อได้เลย กลุ่มของพวกเรามีรุ่นพี่นำรถมารับเราที่สนามบินเลย..... "สวัสดีนะสุราษฎร์ธานี"

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แนะนำตัวเอง (My Resume)

          Blog เดิมได้ปิดตัวลง เพราะเหตุผลบางอย่าง บางครั้งการที่จะเป็นนักเขียน Blog ให้มีผู้ติดตามมากมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถของเรา ในช่วงแรกที่เขียน Blog ย้อนกลับไปเมื่อแรกเริ่ม Blogger อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ทำอะไรที่ผิดพลาดไปได้เช่นกัน เขียนแล้วไม่มีคนอ่าน ไม่มีคนติดตาม ด้วยความที่ไม่รู้ประสา เลยกดติดตามตัวเอง ผลคือ โดน Block ID แต่ตอนนี้ได้เรียนรู้เพิ่มเติมและทำการสมัครใหม่ เพื่อเริ่มต้นที่จะเป็น Blogger อย่างเต็มตัว อย่างไรแล้วก็จะพยายามหาข่าวสาร ข้อมูล มาเพื่อให้เป็นความรู้ และ ความบันเทิงแก่เพื่อน ๆ ที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน มาดู มากด "สับตะไคร้" (Subscribe) 
          สุดท้ายสำหรับบทความนี้ ขอฝาก Blog นี้ไว้ในใจเพื่อน ๆ ด้วย กดติดตามกันเยอะ ๆ เพื่อกำลังใจในการเขียน ขอขอบคุณล่วงหน้า

....